เตือนภัยมิจฉาชีพโทรหลอก! รู้เท่าทันวิธีการหลอกลวงยุคใหม่ พร้อมเคล็ดลับป้องกันตนเองจากภัยโทรศัพท์และออนไลน์

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้าถึงง่ายขึ้นทุกวัน “มิจฉาชีพ” ก็พัฒนาเทคนิคการหลอกลวงให้แนบเนียนตามไปด้วย หนึ่งในวิธีที่พบมากที่สุดคือการโทรศัพท์หรือส่งข้อความแอบอ้างเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว หรือหลอกให้โอนเงินโดยใช้ความกลัว ความรีบ และความไม่รู้ของเหยื่อเป็นเครื่องมือ แม้หลายคนจะคิดว่าตนเองระวังอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะมิจฉาชีพมักปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือและยากต่อการจับผิด

กลโกงยอดฮิตที่มิจฉาชีพนิยมใช้

โทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานราชการ
หนึ่งในรูปแบบที่พบมากที่สุด คือมิจฉาชีพโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือกรมสอบสวนต่าง ๆ โดยมักจะใช้ “เสียงจริงจัง” พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาที่ทำให้ผู้รับสายตกใจ เช่น

“คุณมีพัสดุต้องสงสัยจากต่างประเทศ”
“บัญชีธนาคารของคุณถูกใช้ในการฟอกเงิน”
จากนั้นจะหลอกให้โอนเงินเพื่อ “ตรวจสอบความบริสุทธิ์” หรือส่งข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัญชี เพื่อ “ยืนยันตัวตน” — ซึ่งแท้จริงแล้วคือการหลอกขโมยข้อมูลทั้งหมด


2. ปลอมเป็นพนักงานธนาคารหรือบริษัทขนส่ง
อีกหนึ่งกลโกงที่แพร่หลายมากในปี 2024–2025 คือการแอบอ้างเป็นธนาคารหรือขนส่ง เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry, SCB, KBank ฯลฯ โทรหรือส่งข้อความแจ้งว่า

“มีพัสดุตกค้าง”
“บัตรเครดิตถูกระงับการใช้งาน”
“มีการโอนเงินผิดเข้าบัญชีคุณ”
และแน่นอนว่าจุดจบคือ “ลิงก์ปลอม” ที่หลอกให้กดเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัว ซึ่งมิจฉาชีพจะใช้ข้อมูลนั้นแฮ็กบัญชีธนาคารทันที


3. โทรอ้างเป็นเพื่อน หรือญาติที่กำลังเดือดร้อน
มิจฉาชีพบางรายถึงขั้นนำเสียงจากโซเชียลหรือ AI มาปลอมเป็นเสียงคนรู้จัก โทรมาขอความช่วยเหลือด่วน เช่น “ช่วยโอนเงินมาหน่อย รถชน กำลังจะเข้าโรงพยาบาล”
เมื่อเหยื่อรีบโอนเพราะความห่วงใย จึงตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว


4. โทรเสนอสินเชื่อ-บัตรเครดิตปลอม
มีการโทรเสนอสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือบัตรเครดิตพิเศษที่ต้อง “ยืนยันตัวตนผ่านลิงก์” ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงช่องทางดูดข้อมูลหรือหลอกโอนเงินมัดจำปลอม

ทำไมหลายคนถึงตกเป็นเหยื่อได้ง่าย

เพราะมิจฉาชีพ “เข้าใจจิตวิทยา” ของมนุษย์เป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าเหยื่อส่วนใหญ่มักจะตกใจเมื่อได้ยินคำว่า “ถูกดำเนินคดี” หรือ “ข้อมูลมีปัญหา” จึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มีการใช้ศัพท์ทางราชการ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ บางรายยังส่งเอกสารปลอม โลโก้หน่วยงาน หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่ดูเป็นทางการ เพื่อสร้างความไว้วางใจ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี “ปลอมหมายเลขโทรเข้า (Caller ID Spoofing)” ก็ทำให้เบอร์ที่โทรมาเหมือนกับเบอร์ของหน่วยงานจริง จึงยิ่งทำให้หลายคนหลงเชื่อโดยไม่ทันระวัง

เคล็ดลับป้องกันตัวจากภัยโทรศัพท์มิจฉาชีพ

1. ตั้งสติทุกครั้งก่อนตอบคำถาม
อย่ารีบเชื่อ หรือรีบทำตามเสียงปลายสาย ไม่ว่าจะพูดว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใดก็ตาม ให้ตั้งสติไว้ก่อนทุกครั้ง

2. อย่ากดลิงก์ใน SMS หรือแอปแชต
เพราะลิงก์เหล่านั้นอาจเป็น “เว็บไซต์ปลอม” ที่หน้าตาเหมือนของจริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบธนาคารหรือโซเชียลมีเดียของคุณ

3. โทรตรวจสอบด้วยตัวเอง
หากปลายสายอ้างเป็นหน่วยงานใด ให้คุณวางสาย แล้วโทรกลับไปยังศูนย์บริการลูกค้าของหน่วยงานนั้นโดยตรง เช่น เบอร์ Call Center ของธนาคารหรือบริษัทขนส่ง

4. ใช้แอปช่วยตรวจจับเบอร์โทรต้องสงสัย
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่สามารถบันทึกและเตือนเบอร์โทรมิจฉาชีพ เช่น Whoscall, Truecaller หรือแอปจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น “ป้องกันภัย Call Center”

5. อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในที่สาธารณะ
ข้อมูลพื้นฐานอย่างชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หรือเลขบัญชีธนาคาร อาจถูกนำไปใช้ประกอบการหลอกลวงได้

ในยุคที่มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีเข้าถึงเราได้ง่าย แค่ “รับสายเดียวผิด” ก็อาจเสียทั้งเงินและข้อมูลสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ สติและการรู้เท่าทัน จงจำไว้เสมอว่า  หน่วยงานจริง ไม่โทรมาขอรหัส OTP เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ธนาคาร ไม่ขอรหัสผ่านหรือเลขบัญชีส่วนตัว ทุกครั้งที่มีสายหรือข้อความแปลก อย่ารีบเชื่อ อย่ารีบทำตาม ตรวจสอบก่อนทุกครั้ง คิดก่อนคลิก คิดก่อนโอน เพราะ “ความระวังเพียงไม่กี่วินาที” อาจช่วยคุณจากความเสียหายมหาศาลได้  #รู้เท่าทันมิจฉาชีพ #ปลอดภัยไว้ก่อน #คิดก่อนรับทุกสาย